โดยปกติแล้วในเลือดของคนเรา มีส่วนประกอบหลักที่เป็นน้ำที่เรียกว่าพลาสม่าแล้ว ยังมีเม็ดเลือดอีก 3 ชนิดที่ถูกสร้างขึ้นจากไขกระดูก(ส่วนกลวงภายในของแกนกระดูก)

1) เม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่พาสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย

2) เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่เป็นตำรวจคอยตรวจจับเชื้อโรคและสารพิษรวมถึงสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย

3) เกล็ดเลือด ทำหน้าที่ห้ามเลือด ทำให้เลือดแข็งตัวเมื่อมีบาดแผล ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายในหรืออวัยวะภายนอกของร่างกาย

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เกิดขึ้นจากสภาวะที่ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวออกมามากจนผิดปกติ มากจนไปรบกวนการสร้างเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด ทำให้ภาวะเลือดไม่สมดุล และเม็ดเลือดขาวมีจำนวนมากผิดปกตินี้ ยังมีบางส่วนที่ทำหน้าที่ผิดปกติอีกด้วย นอกจากที่จะตรวจจับทำลายเชื้อโรคและสารพิษภายนอกแล้ว ยังไปทำลายเม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด และเซลล์อวัยวะภายในร่างกายเองอีกด้วย กล่าวให้เข้าใจสั้นๆได้ว่า เม็ดเลือดขาวเป็นพิษนั่นเอง

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หมายถึง ภาวะที่เม็ดเลือดขาว กลายเป็นมะเร็งมีการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวอย่างมากมาย จนร่างกายของเราไม่สามารถควบคุมมันได้ เซลล์มะเร็งเหล่านี้จะไปอยู่ตามอวัยวะต่างๆทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร และมีภูมิคุ้มกันต่ำ เนื่องจากเซลล์มะเร็งเหล่านี้ไม่สามารถทำงานได้เหมือนเซลล์ทั่วไป

ส่วนประกอบของเลือด

ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดจากไขกระดูก bone marrow โดยเซลล์ตัวอ่อนเรียก blast เลือดประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ำเรียก plasma ส่วนเซลล์ที่พบมี 3 ชนิด

1) เม็ดเลือดขาว (leukocyte หรือ white blood cell) ทำหน้าทีต่อสู้กับเชื้อโรค

2) เม็ดเลือดเลือดแดง (erythrocyte หรือ red blood cell) ทำหน้าที่นำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงร่างกาย และนำ carbodioxide ไปฟอกที่ปอด

3) เกร็ดเลือด (platelet หรือ thrombocyte) ทำหน้าที่หยุดเลือด

อาการ

เมื่อเม็ดเลือดไม่สมดุล ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ มีผลให้มีเม็ดเลือดขาวมากกว่าเม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือด จึงส่งผลให้

– มีอาการเลือดจาง ตัวซีด ผิวหนังมีเลือดฝาดเป็นจ้ำๆ

– สุขภาพอ่อนแอ เหนื่อยง่าย

– เป็นแผล เลือดออกได้ง่ายแต่หยุดยาก

– ติดเชื้อจากภายนอกร่างกายได้ง่าย เพราะเม็ดเลือดขาวทำงานผิดปกติ

– มีอาการต่อมน้ำเหลือง ตับและม้ามโต เพราะเป็นอวัยวะที่ร่างกายใช้กำจัดเม็ดเลือดส่วนเกินออกจากระบบเลือด เมื่อทั้งสองระบบทำงานหนักจึงทำให้เกิดอาการบวมโต

สาเหตุ

โดยทางการแพทย์แล้วยังไม่ทราบแน่ชัดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่โดยส่วนมากมักเกิดจากการผิดปกติของข้อมูลรหัสพันธุกรรม (DNA) ซึ่งนำไปสู่การสร้างและการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติไปจนร่างกายไม่สามารถควบคุมปริมาณเม็ดเลือดขาวที่สร้างขึ้นมาได้ แต่มีหลักฐานและการวิจัยศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่า สาเหตุเหล่านี้ว่าเป็นต้นเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาว

– สารก่อมะเร็งบางชนิด

– การได้รับสารกัมมันตภาพรังสี (Ionizing radiation)

– ความผิดปกติทางโครโมโซมในรหัสพันธุกรรม (Chromosomal aberration)

– เชื้อไวรัสบางชนิด

การป้องกัน

แม้ว่าในทางการแพทย์จะยังไม่ทราบแน่นอนว่า สิ่งใดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะมะเร็งเม็ดเลือดขาว แต่มีคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า ให้หลีกเลี่ยงจากสัมผัสกัมมันตภาพรังสี และสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น ยาฆ่าแมลง สีทาบ้านที่มีสารตะกั่วเจือปน ควันพิษจากอุตสาหกรรมหนัก ควันพิษจากยานพาหนะที่มีอายุเก่าแก่ เครื่องยนต์สันดาษได้ไม่สมบูรณ์ และผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็ง ควรตรวจสุขภาพประจำปี ปีละหนึ่งครั้ง

ชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว

แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ ชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วชนิดเฉียบพลันจะมีอาการรุนแรงมากกว่าชนิดเรื้องรัง

1. ชนิดเฉียบพลัน มีภาวการณ์สร้างและแบ่งตัวของเม็ดเลือดขาวอย่างรวดเร็ว จนไปแย่งไขกระดูกบริเวณที่สร้างเม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดมาจนเกือบทั้งหมด ผู้ป่วยตัวซีดลงในเวลาอันสั้น ผิวหนังมีจ้ำเลือด อ่อนแอ มีไข้ ติดเชื้อได้ง่าย มีอาการทรุดลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ผู้ป่วยจะแสดงอาการทั้งหมดออกมาภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น

2. ชนิดเรื้อรัง เป็นภาวะที่สภาวะความสมดุลในเลือดเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ พัฒนาอาการไปอย่างช้าๆ ร่างกายผู้ป่วยยังสามารถสร้างเม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดเพิ่มมากขึ้น ทำให้ยังไม่แสดงอาการที่ชัดเจน แต่โดยแนวโน้มแล้วปริมาณเม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับที่อันตรายต่อร่างกายในที่สุด

วิธีการรักษา

โดยทั่วไป สามารถรักษาได้ 4 วิธี ตามอาการและสภาวะของโรค

1. เคมีบำบัด (Chemotherapy) หรือที่เราเรียกทับศัพท์กันย่อๆว่า “ทำคีโม” สามารถให้ทางการฉีดและการกิน มะเร็งเม็ดเลือดบางชนิดต้องฉีดเคมีเข้าที่ไขสันหลัง

2. รังสีบำบัด (Radiotherapy) ใช้รักษาได้ใน 2 กรณีคือ ฉายรังสีฆ่าเซลล์มะเร็งเพื่อเตรียมปลูกถ่ายไขกระดูก หรือฉายรังสีที่ม้ามซึ่งเป็นอวัยวะศูนย์รวมของมะเร็งเม็ดเลือด

3. การปลูกถ่ายไขกระดูก (Born Marrow Transplantation) โดยต้องทำควบคู่กับการทำคีโมและการฉายรังสีเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งให้หมดจากร่างกายเสียก่อน แล้วจึงฉีดไขกระดูกจากผู้บริจาคเข้าไปสู่ไขสันหลังของร่างกายผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยสร้างเม็ดเลือดได้ที่เป็นปกติได้เองในที่สุด แต่มีข้อแม้ว่าผู้บริจาคไขกระดูกต้องเป็นบุคคลที่สืบต่อสายเลือดในครอบครัวเดียวกัน เพื่อร่างกายร่างกายของผู้ป่วยจะได้ไม่ต่อต้านไขกระดูกที่รับเข้าไปใหม่

4. การสร้างภูมิคุ้มกัน (Biological Therapy) วิธีนี้สามารถใช้ได้กับเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดบางชนิด โดยไปกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่อต้านเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดนั่นเอง

การรักษาอื่นๆที่จำเป็น

เนื่องจากการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวมีโรคแทรกซ้อนมาก ดังนั้นการรักษาอื่นก็มีความจำเป็นไม่แพ้กัน เนื่องจากผู้ป่วยอ่อนแอเกิดการติดเชื้อง่าย ดังนั้นผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงสถานที่ทีมีคนมากโดยเฉพาะช่วงที่เกิดการระบาดของโรค ถ้าได้รับการติดเชื้อที่รุนแรงจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ antibiotic ภาวะโลหิตจางเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและพบบ่อยหากเป็นมาก อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่าย ถ้าซีดมากควรได้รับการเติมเลือด tranfussions ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจช่องปากก่อนการรักษา

ผลข้างเคียงของการรักษา

เคมีบำบัด (Chemotherapy) หลักการให้เคมีบำบัดคือทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วซึ่งเซลล์มะเร็งแบ่งตัวเร็วดังนั้นจึงถูกทำลายมาก แต่ขณะเดียวกันการให้เคมีบำบัดก็ทำลายเซลล์ปกติ ดังนั้นอาการข้างเคียงจึงเกิดจากการที่เซลล์ปกติถูกทำลาย ผู้ป่วยจะคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ผมร่วง เป็นหมัน

รังสีรักษา (Radiotherapy) บริเวณที่ฉายแสงขนหรือผมจะร่วง ผิวบริเวณดังกล่าวจะแห้ง คัน ห้ามใช้โลชั่น ก่อนปรึกษาแพทย์

การปลุกถ่ายไขกระดูก (Bone marrow transplantation) ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เลือดออกผิดปกติ

ข้อมูลจาก : อโรคยาณี.นับหนึ่งกับมะเร็ง.