โรคมะเร็งผิวหนัง (Skin cancer หรือ Cutaneous carcinoma) คือเนื้อร้ายที่เกิดบนผิวหนังและเยื่อบุ เนื่องจากความผิดปกติของการเจริญเติบโต และการแบ่งเซลล์ของผิวหนังและเยื่อบุ มะเร็งผิวหนังมีหลายชนิด ที่พบบ่อย ได้แก่

1. โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเบซาลเซลล์ (Basal cell Carcinoma หรือ BCC) เป็นโรคมะเร็งผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุด มักพบในอายุ 40-50 ปีขึ้นไป ผู้ชายพบมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย มักพบเกิดในบริเวณใบหน้า มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อสีคล้ำ เมื่อเป็นน้อยๆอาจมองดูคล้ายกระ แต่จะโตเร็ว และแตกเป็นแผลเรื้อรังได้ เป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงต่ำ และมักไม่มีการแพร่กระจายเข้าสู่กระแสโลหิต/เลือด ดังนั้นจึงมักไม่เป็นสาเหตุให้เสียชีวิต แต่อาจลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองได้

2. โรคมะเร็งผิวหนังชนิดสะความัส (Squamous cell carcino ma หรือ SCC) เป็นโรคมะเร็งผิวหนังพบบ่อยรองจากชนิดเบซาลเซลล์ มักพบในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดเท่ากัน เป็นมะเร็งที่รุนแรงกว่าชนิด เบซาลเซลล์ เป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงปานกลาง สามารถลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง และแพร่กระจายเข้ากระแสโลหิตได้สูงกว่าชนิดเบซาลเซลล์เมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ หรือเมื่อเป็นเซลล์มะเร็งที่เซลล์มีการแบ่งตัวสูง ซึ่งเมื่อแพร่ กระจาย มักแพร่กระจายสู่ปอด

3. โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma หรือ Malignant melanoma) เป็นโรคมะเร็งที่เกิดกับเซลล์สร้างเม็ดสีของผิวหนังที่เรียกว่า เมลาโนไซต์ (Melanocyte) เป็นมะเร็งพบได้ทั้งในเด็กโต (ในคนอายุต่ำกว่า 20 ปีพบมะเร็งชนิดนี้ได้ประมาณ 1% ของมะเร็งชนิดนี้ทั้งหมด) และจะพบสูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น จนพบได้สูงสุดในช่วงอายุ 45-65 ปี ต่อจากนั้นจะพบได้น้อยลง ผู้ชายพบได้สูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย เป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงสูง โรคลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองและแพร่กระจายเข้ากระแสโลหิตได้สูง ซึ่งเมื่อแพร่กระจายมักไปยัง ปอด กระดูก และสมอง

มะเร็งผิวหนังเกิดจากอะไร? มีปัจจัยเสี่ยงไหม? ปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ทั้ง 2 กลุ่มที่กล่าวแล้ว แต่พบมีปัจจัยเสี่ยงดังนี้ คือ

1. การได้รับแสงแดดเรื้อรัง โดยเฉพาะแสงแดดจัด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุด

2. คนที่มีผิวบาง

3. มีแผลเรื้อรัง เช่น แผลเรื้อรังจากสารเคมี เพราะการอักเสบเรื้อรัง อาจเป็นสาเหตุให้เซลล์มีการเปลี่ยนแปลงกลายพันธุ์ไปเป็นเซลล์มะเร็งได้

4. ผิวหนังสัมผัสสารพิษเรื้อรัง เช่น สารอาร์ซีนิค/สารหนู (Arsenic เป็นสารพิษ ที่เมื่อร่างกายได้รับต่อเนื่อง จะก่อให้เซลล์เกิดการบาดเจ็บ จนอาจกลายพันธ์เป็นเซลล์มะเร็ง หรือ เซลล์ถูกทำลายจนเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ ) เป็นต้น

5. ผิวหนังสัมผัสรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิด ไอออนไนซ์ (Ionizing radiation/ รังสีที่ทำให้เซลล์บาดเจ็บ เสียหาย และตายจากการแตกตัวของโมเลกุลในเซลล์เป็นประจุบวก และประจุลบ เช่น รังสีเอกซ์ หรือ รังสีที่ใช้ตรวจและรักษาโรค) ในปริมาณสูงเรื้อรัง

5. มีโรคที่ส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันต้านทานของร่างกายบกพร่อง เช่น โรคติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคเอดส์

6. จากการกลายพันธุ์ ของไฝ ซึ่งสังเกตได้จาก ไฝจะเจริญเติบโตลงลึกในเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง อาจแตกเป็นแผล อาจมีเลือดออก และมักโตเร็ว

7. จากมีพันธุกรรมผิดปกติบางชนิด เช่น โรค Xeroderma pigmentosum (โรคที่เซลล์ผิวหนังไวต่อแสงแดดมากผิดปกติ จึงเกิดมะเร็งผิวหนังได้ง่าย) อย่างไรก็ตามพบโรคทางพันธุกรรมเหล่านี้ได้น้อยมากๆ

โรคมะเร็งผิวหนังมีอาการอย่างไร? อาการที่พบบ่อยของโรคผิวหนัง คือ

1. การมีตุ่ม หรือ ก้อนเนื้อ หรือแผลเรื้อรังที่ผิวหนัง พบได้ในทุกบริเวณ รวมทั้ง ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และหนังศีรษะ ใบหน้า รักแร้ ขาหนีบ

2. ไฝต่างๆที่โตเร็ว อาจเจ็บ แตกเป็นแผล มีเลือดออกเรื้อรัง

3. อาจพบเพียงก้อนเนื้อเดียว หรือหลายๆก้อนเนื้อพร้อมๆกัน

4. เมื่อโรคลุกลาม อาจคลำพบต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงกับผิวหนังส่วนที่เกิดโรค โต คลำได้ เช่น ที่หน้าหู หรือลำคอ

โรคมะเร็งผิวหนังรักษาอย่างไร? แนวทางการรักษาโรคมะเร็งผิวหนังทุกชนิดคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ การรักษาหลัก ได้แก่ การผ่าตัดก้อนเนื้อมะเร็ง และผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่มีโรคลุกลามแล้ว หลังจากนั้นจะมีการประเมินระยะโรค และการลุกลามของเซลล์มะเร็งจากก้อนเนื้อและจากต่อมน้ำเหลืองจากการผ่าตัดโดยการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค ซึ่งถ้าพบว่า โรคเป็นชนิดรุนแรง เช่น ลุกลามเข้าเส้นประสาท แพทย์มักพิจารณาให้การรักษาต่อเนื่องด้วย การฉายรังสีรักษา และ/หรือยาเคมีบำบัด ส่วนยารักษาตรงเป้า ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา

โรคมะเร็งผิวหนังรุนแรงไหม? ความรุนแรงของโรคมะเร็งผิวหนังขึ้นกับปัจจัยต่อไปนี้

1. ชนิดของเซลล์มะเร็ง เรียงตามลำดับความรุนแรงโรคจากน้อยไปหามาก คือ ชนิดเบซาลเซลล์ ชนิดสะความัส และชนิดเมลาโนมา

2. ระยะของโรค

3. ตำแหน่งที่เกิดโรค โรคมะเร็งที่อยู่ในตำแหน่งที่สามารถผ่าตัดก้อนเนื้อมะเร็งออกได้หมด ความรุนแรงโรคน้อยกว่า เมื่อผ่าตัดได้ไม่หมด หรือผ่าตัดไม่ได้

4. อายุและสุขภาพผู้ป่วย ดังกล่าวแล้ว ถ้าผ่าตัดไม่ได้ จากอายุ และ/หรือจากสุขภาพ ความรุนแรงของโรคจะสูงขึ้น

การป้องกันที่สำคัญ คือการป้องกันการถูกแสงแดด หลีกเลี่ยงแสงแดดช่วง 10.00-15.00 น ซึ่งเป็นช่วงที่มีรังสี UV สูงสุด สวมเสื้อผ้าสีอ่อน เนื้อแน่น หมวกปีกกว้าง 3 นิ้วเมื่อเวลาออกแดด ทาครีมกันแสงแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 15

ที่มาข้อมูล :- siamhealth และ haamor.com