-
ตุ่มที่ขึ้นบริเวณลานนม คืออะไร เป็นอันตรายหรือไม่??
ตุ่มเหล่านี้ เรียกว่า Montgomery gland เป็นตุ่มไขมันชนิดหนึ่งครับ ซึ่งทำหน้าที่สร้างสารไขมัน มาเคลือบผิวหนังที่ลานนมครับ ตุ่มเหล่านี้จะมีประมาณ 4 – 28 ตุ่ม อาจเพิ่มหรือขยายขนาดได้ ในกรณีได้ฮอร์โมนเพิ่ม เช่นการทานยาคุม หรือช่วงมีประจำเดือน
อาการตุ่มขึ้นแบบนี้ ถือว่าเป็นปกติ ไม่มีอันตราย และไม่เกี่ยวกับมะเร็ง นะครับ แต่หากตุ่มไขมันนี้เกิดการอักเสบ ก็จะทำให้มีอาการปวด บวม แดง เจ็บบริเวณนั้นได้ ก็ไม่มีอันตรายอะไร รักษาเหมือนเป็นผิวหนังอักเสบ ครับ
นพ. หะสัน มูหาหมัด
-
อาการคันบริเวณหัวนม เกิดจากอะไร
อาการคันบริเวณหัวนมหรือลานนม ส่วนใหญ่มักเป็นปัญหาเรื่องผื่นแพ้สัมผัส โดยทั่วไปอาจมีสาเหตุมาจากการใส่ชุดชั้นในรัดแน่นเกิน การแพ้สารเคมีในชุดชั้นใน ความอับชื้น ที่ส่งผลให้เกิดเชื้อราในร่มผ้าขึ้นบริเวณหัวนม นอกจากนี้ในช่วงอากาศแห้งก็จะทำให้ผิวแห้ง เป็นขุย หลุดลอกได้ง่ายเช่นกัน วิธีป้องกันรักษาเบื้องต้นก็คือ ควรรักษาความสะอาดบริเวณนั้น อย่าปล่อยให้ความอับชื้นเกิดขึ้น ที่สำคัญพยายามอย่าเกาเพราะจะทำให้อาการลุกลามมากขึ้น และอาจใช้ยาแก้คันหรือยาแก้แพ้ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ควรต้องพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
นพ. หะสัน มูหาหมัด
-
มีอาการเจ็บเต้านม ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร จะเป็นอันตรายหรือไม่
สาเหตุของอาการเจ็บเต้านม ได้แก่
1. อาการปวดตามรอบประจำเดือน มักเป็นก่อนมีประจำเดือน 4-5 วัน และจะเป็นอยู่ 5-7 วัน จากนั้นก็จะค่อยๆหายไปเองโดยไม่ต้องทำอะไร ลักษณะของอาการปวดคือ ปวดคัดตึง แน่น รู้สึกบวมๆ ในเต้านมสองข้าง หากสัมผัสโดนก็อาจเจ็บมากขึ้นได้ สำหรับคนที่เป็นมาก อาจปวดร้าวไปที่รักแร้ ไหล่ หรือแขนได้ สาเหตุ เกิดจากการคั่งตัวของสารน้ำเนื้อเยื่อเต้านมบวมขึ้น อันป็นผลมาจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่หลั่งมา ในช่วงก่อนมีประจำเดือน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติของร่างกาย ไม่ถือว่าผิดปกติหรืออันตรายอะไร และไม่ต้องรักษาอะไร ยกเว้นในรายที่ปวดมาก อาจจะทานยาลดไข้แก้ปวดธรรมดา เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด
2. อาการปวดจากเนื้อเยื่อรอบท่อน้ำนมอักเสบ พบไม่ค่อยบ่อยนัก แต่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดได้ อาการคือ เป็นก้อนแข็งๆ กดแล้วเจ็บ ส่วนมากมักเป็นใกล้ๆ ลานนมหรือหัวนม มีลักษณะปวดระบมอักเสบ
3. อาการปวดจากสาเหตุอื่นๆ ได้แก่ การบาดเจ็บ เนื่องจากการกระทบกระแทก โดนอะไรชนมา ก็เป็นสาเหตุที่ตรงไปตรงมาอยู่แล้ว
4. อาการปวดจากเนื้ออื่นๆ ที่ไม่ใช่จากเต้านมโดยตรง อาการปวดที่มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อหรือกระดูกซี่โครง พบได้ทั่วไปในผู้หญิง ไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด อาการปวดแบบนี้ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ เพราะส่วนใหญ่เป็นเองหายเอง ไม่มีอันตรายอะไร บางคนอาจทานยาแก้กล้ามเนื้ออักเสบก็เพียงพอ
เรื่อง อาการเจ็บเต้านมลองอ่านบทความนี้ http://www.thaibreastcancer.com/be-302/
นพ. หะสัน มูหาหมัด
-
มีน้ำไหลออกจากหัวนม เกิดจากอะไร
น้ำที่ออกมาทางหัวนม หากเป็นพวกน้ำใสๆ หรือขาวขุ่นคล้ายน้ำนม และ เกิดจากการเอามือบีบเค้นที่หัวนมหรือเต้านม ไม่ถือว่าผิดปกติและไม่อันตรายอะไรค เป็นลักษณะปกติที่พบเจอได้อยู่แล้ว และมักออกจากเต้านมสองข้าง หรือหลายๆหย่อมในแต่ละข้าง แต่คำแนะนำคือ ควรตรวจแมมโมแกรม ดูร่วมด้วยว่ามีความผิดปกติซ่อนเร้นอยู่หรือไม่
สำหรับกรณีที่ถือว่าผิดปกติ ก็คือสิ่งที่ไหลออกมามีลักษณะเป็นเลือด หรือเป็นของเหลวสีอะไรก็ตาม ที่ไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว คือไม่ได้เกิดจากการเอามือไปบีบเค้น กรณีนี้จะถือว่ามีความสำคัญ ที่ต้องตรวจให้ละเอียดต่อไป
ลองอ่านบทความนี้เพิ่มเติมนะครับ http://www.thaibreastcancer.com/be-305/
นพ. หะสัน มูหาหมัด
-
หลากหลายคำถามเกี่ยวกับอาหารการกินและมะเร็งเต้านม….
Q : เป็นมะเร็งเต้านมระยะที่1 รักษามาเรียบร้อยแล้วปีกว่า สามารถกินผักผลไม้อะไรได้บ้าง
A : ที่จริงแล้ว ยังไม่มีข้อมูลออกมาชี้ชัดนะครับว่า อาหารอะไรที่กินเข้าไปแล้วจะทำให้มะเร็งกำเริบ แต่จากการศึกษาเชิงระบาดวิทยา มีผลออกมาว่าการบริโภค อาหารพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้ เนื่องจากพบว่ามีสารพวกต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งได้ ในทางตรงกันข้ามอาหารที่มีส่วนประกอบของแป้ง ไขมันสูง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้ ในทางปฏิบัติ ข้อแนะนำสำหรับคนไข้ที่ผ่านการรักษามาแล้ว ก็จะแนะนำให้ ดูแลตัวเองดังนี้ครับ ควรบริโภค ผัก ผลไม้ หรือ ธัญพืช มากๆ คล้ายๆ คนที่ทานมังสะวิรัติ หลีกเลี่ยงไขมัน เช่น เนื้อติดมันต่างๆ ของทอด หมั่นออกกำลังกาย นั่งสมาธิ หลีกเลี่ยงความเครียด และที่สำคัญ พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอครับQ : ทราบว่าการทำคีโม มีผลกระทบต่อร่างการหลายอย่าง จะทานอาหารเสริมตัวไหนได้บ้างที่จะทำให้ไม่อ่อนเพลีย และช่วยเสริมภูมิต้านทานได้
A : ส่วนมากก็ไม่ได้แนะนำให้ ต้องทานอาหารเสริมใดๆ ในช่วงที่ให้ยาเคมีบำบัด เพียงแต่เน้นการทานอาหารให้ได้ปริมาณเพียงพอที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน นั่นคือ เดิมทานยังไง ก็ให้ทานอย่างนั้นต่อไป ทานให้ครบ 5 หมู่ และเป็นอาหารที่ปรุงสุกสะอาด อาจเน้นอาหารพวกโปรตีน เช่นไข่ขาว มากเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องเอาไปใช้ในการสร้างเม็ดเลือด และเซลล์ทดแทน สำหรับอาหารเสริม ก็ไม่ได้ห้าม สามารถเลือกทานได้Q : เพิ่งผ่าตัดเต้านมไป และอยู่ในขั้นตอนรักษาต่อ ขอข้อมูลเรื่องการกินหน่อยค่ะ บ้างก็บอกว่ากินตามปกติได้ทุกอย่างแค่เลี่ยงพวกปิ้ง ย่าง ทอด และหวานมัน บ้างก็ให้งดเนื้อแดงไปเลย
A : ผมก็เคยเจอคำถามแบบนี้บ่อยๆ จากคนไข้นะครับ และก็ได้ลองหาข้อมูลดู เท่าที่พอหาได้ มันก็ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ออกมายืนยันว่ามีอาหารอะไรที่ป้องกันมะเร็งได้ แต่เป็นเพียงการลดความเสี่ยงเท่านั้น ดังนั้นในความเห็นของผม ผมคิดว่าทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการ ที่ถูกต้องน่าจะดีที่สุด เพราะอย่างน้อยทำให้เราได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ในช่วงของการรักษาเสริมด้วยยาเคมีบำบัด ซึ่งตัวยาจะมีการทำลายเซลล์ของร่างกาย ดังนั้นอาหารในช่วงนี้ควรเป็นอาหารที่เน้นด้านโปรตีน เช่น ไข่ขาว เนื้อปลา เนื้อสัตว์ นมต่างๆ สำหรับอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคืออาหารที่ไม่สะอาด เช่น อาหารหมักดอง อาหารที่ปรุงไม่สุก ซึ่งในช่วงที่ให้ยาเคมีบำบัดต้องระวังในประเด็นเรื่องการติดเชื้อ ด้วยQ : ถ้าคุณสมบัติของ Tamoxifen คือแย่งจับเอสโตรเจนก่อนเซลล์มะเร็ง เราก็ไม่ควรทานอาหารที่เพิ่มเอสโตรเจน เช่น เต้าหู้ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ใช่หรือไม่
A : เรื่องสาร Phytoestrogen ยังไม่มีข้อสรุปนะครับ
ผมมีบทความสั้นๆ จากคุณหมอสุรีรัตน์ อายุรแพทย์ โรคมะเร็ง ให้อ่านพอเป็นสังเขปนะครับ http://www.thaibreastcancer.com/537/นพ. หะสัน มูหาหมัด
-
คลำเจอก้อนที่เต้านม จะเป็นก้อนเนื้อร้ายหรือไม่
คงต้องมาตรวจดู ให้ละเอียดดีกว่านะครับ ถึงจะบอกได้ ว่าก้อนนั้นเป็นก้อนอะไร กันแน่
อาการเป็นก้อนที่เต้านมเป็นได้จากหลายๆสาเหตุครับ บางคนไม่ได้เป็นก้อนจริง แต่เนื้อเต้านมเป็นไตแข็งๆ ก็อาจทำให้รู้สึกว่าเป็นก้อนก็ได้
บางคนเป็นถุงน้ำ ก็สามารถคลำได้เป็นก้อนๆ ก็ได้
บางคนเป็นเต้านมอักเสบ เนื้อส่วนนั้นจะแข็งขึ้น จนทำให้คลำได้เป็นก้อนๆ ก็ได้
บางคนถูกกระแทกหน้าอก จากอุบัติเหตุต่างๆ ก็จะมีไขมันอักเสบ คลำดูเป็นก้อนๆก็ได้
บางคนเป็นเนื้องอก ทำให้คลำได้เป็นก้อนขึ้นมา
ซึ่งเนื้องอกอาจเป็นเนื้องอกชนิดธรรมดา ไม่ร้ายแรง ไปจนถึงขั้นเป็นมะเร็งก็ได้
เพราะฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่คลำหน้าอกตนเองแล้วพบสิ่งผิดสังเกตุ ก็ต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจลงไปให้ละเอียดกว่านี้ ก็จะทราบได้ว่าก้อนนั้นๆ เป็นอะไรกันแน่นพ. หะสัน มูหาหมัด